ก่อนเจ็ดสิบ ตาเธอกะพริบ วิบวิบวิบวิบ
ก่อนเจ็ดสิบนั้น ฉันตาย
ทุกคนทราบไหมคะ ว่า MBTI ไหนหาเงินได้น้อยที่สุด ใช่ค่ะ INFP หาเงินได้น้อยที่สุด เพราะอะไรรู้ไหมคะ เพราะว่าคนไทป์นี้ใช้อารมณ์เป็นตัวนำ ต้องมีฟีลลิ่ง ต้องอารมณ์ถึง ถึงจะทำงานสักอย่างออกมาให้สำเร็จได้ แล้วที่เกริ่นมา เกี่ยวอะไรกับบันทึกก่อนเจ็ดสิบน่ะเหรอคะ ก็เพราะว่าไอ้บุศมันเป็นคนประเภทแบบนั้นยังไงล่ะ ประเภทที่ใช้อารมณ์ทำงาน ถ้าฟีลยังไม่มา ก็นอนอืดอยู่อย่างนั้น ไม่สามารถบังคับตัวเองให้ทำอะไรได้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไฟจี้ตูด รู้สึกผิด และคิดวนอยู่ในหัวตลอดทุกลมหายใจว่า "ทำธีสิส ทำธีสิส ทำธีสิส" แต่ก็นั่นแหละค่ะ พวกนักเขียนก็อารมณ์แบบนี้ทั้งนั้น ทำงานตอนที่อยากจะทำ วันดีคืนดีก็ลุกขึ้นมาเขียนตอนตี่สี่ แล้วนอนตอนหกโมงเช้า ยิ่งดึกยิ่งเงียบยิ่งสมองแล่น
อันที่จริงพอเราเป็นคนที่ทำงานด้วยอารมณ์นำพาแล้ว ก็กดดันตัวเองมากกว่าคนอื่นหลายเท่า ไม่ใช่แค่เพราะงานเดินได้ด้วยฟีลลิ่ง แต่เป็นเพราะงานของเรามีดีเทลเยอะด้วย ช่วงเดือนมีนาคมหลังจากนำเสนอสามสิบเปอร์เซ็นต์เสร็จ บุศแทบไม่มีความคืบหน้าอะไรด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่พบอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่ทุกสัปดาห์ แต่พอนำเสนออะไรไป ก็เหมือนยังไม่เข้าท่าเข้าที ได้เริ่มลงมือเขียนจริง ๆ ก็เดือนเมษายนแล้ว ตอนนั้นได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษาว่า "ลองเขียนองก์ที่เราอยากเขียนก่อน" เพราะความตั้งใจแรกของบุศคือการเขียนแต่ละองก์ให้เชื่อมโยงกัน แต่ไม่ได้ต่อกัน ไม่ว่าคุณจะเริ่มอ่านจากองก์ไหน คุณก็จะสามารถนำมาเรียบเรียง และเชื่อมโยง จนสรุปเข้าใจเองได้ โดยไม่ต้องเรียงลำดับหนึ่ง สอง สาม สี่ และการที่เราเริ่มเขียนจากสิ่งที่เราอยากเขียนก็ทำให้งานคืบหน้ามากกว่าที่คิด (มั้งคะ)
เอาล่ะ ที่จริงมันก็อาจจะไม่ได้คืบหน้าขนาดนั้น แต่มันก้ไหลไปเรื่อย ๆ
ช่วงแรกที่ต้องเริ่มเขียนจริงจัง รู้สึกว่ามันยากไปหมด เพราะเป็นงานออริจินอลเรื่องแรกของตัวเอง ที่เราต้องสร้างเซตติ้ง เขียนภูมิหลังเองทั้งหมด ภาพในหัวก็ไม่มี เขียนไปอย่างนั้นอย่างไม่มีจุดหมายเท่าไร แต่พอเขียนไปเรื่อย ๆ เริ่มมีภาพตัวละคร มีการใส่ปมนู่นนี่เข้าไปแบบที่ไม่ตั้งใจ บุศส่งงานองก์ที่สอง ฉบับหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ให้อาจารย์ที่ปรึกษาในวันสงกรานต์ ระหว่างที่เขียนองก์นี้จำได้ว่านั่งอยู่หน้าคอมทุกวัน เพราะเป็นการบังคับตัวเองกลาย ๆ ว่าต้องเขียน ได้เยอะบ้าง น้อยบ้าง แต่ก็ได้เขียน ปัญหาที่นักเขียนส่วนใหญ่ต้องพบเจอก็คือการเขียน ๆ ไปแล้วอยู่ดี ๆ ก็ชะงัก จนต้องหาอย่างอื่นทำแล้วกลับมาเขียนใหม่ พอส่งงานองก์นี้ไป ก็คิดกับตัวเองเอาไว้ว่าจะพักสักสองวัน ไปเล่นน้ำ ไปเติมพลังแล้วค่อยกลับมา และผลที่ได้คือ
ต่อไม่ติด...
ไอ้บุศนั่งจ๋องหน้าคอม มองไฟล์เวิร์ดเปล่า ๆ ตาละห้อยอยู่หลายวัน ที่คิดไว้ว่าอยากพักแค่สองวันก็ไม่มีอยู่จริง ทำไงได้ ก็คนมันไม่มีฟีล พักแล้วพักเลยพักยาว ๆ แต่ความจริงแล้วแอบเขียนองก์ที่หนึ่ง กับองก์ที่สามพร้อมกันนะ แม้มันจะคืบหน้าแบบค่อย ๆ กระดึ๊บ ๆ ไปก็ตาม
เขียนน้อยแต่เขียนนะ เขียนช้าแต่ดีกว่าไม่เขียน
และแล้ววันศุกร์ที่ 25 เมษายนก็มาถึง ตื่นแต่เช้ารอพบอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนนำเสนอใหญ่ ถึงแม้ว่าครูนุชจะบอกว่ายังตรวจไม่หมดเพราะยาวมาก แต่ก้พอเห็นภาพว่าปัญหาในการเขียนของตัวเองคืออะไร ขออนุญาตขยายความค่ะ
1. ไอ้บุศเป็นคนดีเทลเยอะ ชอบใส่รายละเอียด ชอบอธิบาย (เพราะหนูอยากให้ทุกคนเห็นภาพเดียวกับหนู)
2. ไอ้บุศใช้ระดับภาษาไม่เหมือนกัน (อาจเป็นเพราะติดภาษาแชทจากกลุ่มเพื่อน เพราะมีสรรพนามทุกระดับ ตั้งแต่กูมึง ฉันแก เราเธอ ข้าเอ็ง แล้วแต่ช่วงว่าอินละครเรื่องไหน) แต่หนูจะต้องนำไปปรับใช้กับองก์ที่เหลือแน่นอน เพื่อไม่ให้อาจารย์ที่ปรึกษาปวดหัวขณะตรวจทานให้อีกครั้ง
ทีนี้คำแนะนำต่อมาคือการนำเสนอเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะถึงควรมีอะไรบ้าง แน่นอนว่าต้องเล่าเรื่องย่อแต่ละองก์ให้อาจารย์ฟัง รวมถึงแจกแจงตัวละคร โดยครูนุชแนะนำว่าให้ทำเป็นแผนภาพต้นไม้ เพื่อง่าย และกระชับต่อการเล่าเรื่อง ระหว่างที่เขียนบล็อกนี้ ไอ้บุศจึงกำลังงมหาโปรแกรม หรือวิธีวาดแผนภาพต้นไม้ให้เข้ามือที่สุดไปพร้อม ๆ กันด้วย
สุดท้ายนี้ยังไม่แน่ใจว่าคณาจารย์ท่านอื่น ๆ จะมีความคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง แต่หลังจากนำเสนอเสร็จ จะนำข้อเสนอแนะทุกอย่างมาบันทึกไว้ เพื่อนำไปปรับปรุงในงานต่อนะคะ
Comments
Post a Comment