แต่ละวันที่ผันผ่าน สุดจะทานต้านให้ไหว

          หลังจากประกาศอาจารย์ที่ปรึกษาในคลาสรูมเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ก็เริ่มแนะนำตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษา และตั้งกลุ่มเพื่อนัดหมายพูดคุยกัน แน่นอนว่าร่างธีสิสที่ส่งไป เกี่ยวกับวรรณกรรมสืบสวนสอบสวน ต้องเป็นอาจารย์นุสรา ดีไหว้

          การพบปะพูดคุยกันครั้งแรก ครูนุชถามย้ำว่า “อยากทำอะไร” อีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าอยากทำสิ่งนี้จริง ๆ ฉันตอบเหมือนเคยว่า “หนูอยากเขียนหนังสือสืบสวนค่ะ” และนำเสนอพล็อตเรื่องเดิมตามความตั้งใจ รวมทั้งเขียนสิ่งที่คาดว่าจะทำในอนาคตต่อไปมานำเสนออีกด้วย ครั้งนี้ได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ คือ ให้ไปอ่านหนังสือ ดูซีรีส์ หรือภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการย้อนเวลาให้มากขึ้น และอยากทำจักรวาลเอง หรือจะย้อนกลับไปอดีตที่มีประวัติศาสตร์เหมือนเดิม

          หลังจากวันนั้น ฉันกลับมาอ่านกาหลมหรทึก หนังสือที่ครูแนะนำ เพราะมีการใช้กลบท อาจเป็นประโยชน์กับการทำงานในอนาคตของฉัน เมื่ออ่านจนจบ ก็เป็นวินาทีเดียวกับที่ฉันรู้ตัวเองดีว่าสิ่งนี้ยากเกินไป ฉันเริ่มทำตารางข้อมูล ทั้งบันทึกวิธีการดำเนินเรื่อง และเรื่องย่อ เพื่อจับจุดของวรรณกรรมอื่น ๆ มาเป็นแรงบันดาลใจ และค้นหาแนวทางของตัวเองต่อไป

          สัปดาห์ต่อมา ฉันเอ่ยปากกับอาจารย์ที่ปรึกษาด้วยตัวเองว่าไม่สามารถเขียนอย่างกาหลมหรทึกได้ และไม่อยากให้งานของตัวเองย้อนเวลาอย่างในละครบุพเพสันนิวาส เนื่องจากมีการอ้างอิงบุคคลทางประวัติศาสตร์ และเป็นประเด็นอ่อนไหว จึงเริ่มลังเลที่จะสร้างมิติเวลา เป็นการย้อนเวลาในแบบของฉันเองขึ้นมา ประโยคที่ฉันจำได้ดีจากการพูดคุยกันในครั้งนี้คือ “ดีแล้วที่ไปอ่านเพิ่ม ลูกจะได้รู้ว่าแบบไหนชอบหรือไม่ชอบ แบบไหนยากไป หรือไม่ใช่ทาง” นอกจากนี้การบ้านสำคัญนอกจากการไปศึกษาวรรณกรรมเรื่องอื่น ๆ เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีดังนี้

1.      หากร่างปัจจุบันไปอยู่ในอดีต แล้วจะกลับมาอย่างไร สถานการณ์ปัจจุบันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

2.      ระยะเวลาของมิติเวลาเป็นอย่างไร เท่ากันหรือไม่ ช้าเร็วกว่ากันเท่าใด

3.      ฉาก เวลา สถานที่ เป็นช่วงไหน

4.      ตัวละครย้อนเวลากลับไปเพื่ออะไร ตามหาอะไร ไขปริศนาอะไร

5.      การย้อนเวลากลับไปส่งผลกระทบอะไรกับปัจจุบัน

6.      ร่างพล็อต ตัวละครให้ละเอียดมากขึ้น เพื่อภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น

หลังจากได้รับการบ้านในวันนั้น ฉันเองเฝ้านั่งคิด นอนคิดอย่างตั้งใจ แต่ไม่ค่อยมีไอเดียใหม่ ๆ ออกมานัก กระทั่งคืนวันพฤหัส ฉันตัดสินใจพูดคุยกับเพื่อน ๆ ของตัวเอง โดยเริ่มจากเล่าพล็อตคร่าว ๆ ของตัวเอง และให้เพื่อนตั้งคำถาม เพราะฉันรู้ตัวดีว่าพล็อตที่ตัวเองคิดว่าดีนักหนา ยังมีช่องโหว่รอการอุดอีกมากมาย และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อเพื่อนยิงคำถามมากมาย ฉันรู้ตัวในทันทีว่า คำถามเหล่านั้น มีส่วนที่ฉันตอบไม่ได้มากกว่าส่วนที่ตอบได้

ฉันกลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง เริ่มคิดอย่างละเอียด ลงมือขีดเขียนในสมุดบันทึกของตัวเอง ทั้งหาทฤษฎีการย้อนเวลา เพื่อเทียบหาทฤษฎีที่เข้ากับความคิดในหัวของตัวเอง พลางเริ่มคิดอย่างละเอียดมากขึ้นเพื่อปิดช่องโหว่ พูดคุยกับคนรักเพื่อขอความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ หรือทำแม้กระทั่งคุยกับเอไอ แชทจีพีที เพื่อหาไอเดียใหม่ ๆ จนคืนสุดท้ายก่อนพูดคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาครั้งที่สาม ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ข้อผิดพลาดน้อยลง

หนึ่งสัปดาห์ก่อนนำเสนอความคืบหน้า 30% หน้าชั้นเรียน ในการพูดคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาครั้งที่สาม นำพล็อตฉบับล่าสุดที่ตัวเองปรับแก้มาเล่าให้อาจารย์ที่ปรึกษาฟัง เพื่อขอคำแนะนำ เป็นที่น่าชื่นใจเมื่อครูนุช และเพื่อนในกลุ่มที่ปรึกษาเดียวกันชื่นชอบ แต่ก็ยังมีบางจุดที่ต้องหารายละเอียดให้มากขึ้นอยู่

ต่อไปนี้จะเป็นพล็อตคร่าว ๆ ฉบับไฟนอลที่นำเสนออาจารย์ที่ปรึกษาครั้งสุดท้ายก่อนนำเสนอความคืบหน้า 30%

องก์ที่ 1

          กุลพบคดีปริศนาจากแฟ้มคดีเก่าบนโต๊ะทำงานของพ่อ เป็นคดีลักพาตัว ซึ่งมีภาพถ่ายเก่า ๆ แนบเอาไว้ เป็นภาพของผู้สูญหาย และภาพของผู้ต้องสงสัย ซึ่งนั่นทำให้กุลประหลาดใจ เพราะภาพของผู้สูญหายมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับตัวเอง กุลเอาแต่คิดวนเวียนเรื่องนี้ทั้งวัน แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามพ่อ เพราะว่าคดีนี้เธอแอบเข้ามาเห็นในห้องทำงานเอง ตกดึกคืนนั้น นาฬิกาลูกตุ้มเรือนใหญ่กลางบ้านดังขึ้นหนึ่งครั้งในเวลาเที่ยงคืน ก่อนจะเงียบสนิทลง กุลตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองอยู่ในอดีต เธอกำลังอยู่ช่วงเวลาเดียวกับคดีคนหายปริศนานั่นเอง ที่นั่นมีคนเรียกเธอว่า “แก้ว” และมีผู้หญิงอีกหนึ่งคนที่หน้าตาเหมือนเธอชื่อว่า “กาน” ทุกคนคิดว่าเธอคือ แก้ว ทำให้กุลลืมความสงสัยทั้งหมดว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือตัวเธอในปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง เธอเริ่มค้นหาความจริง ว่าแก้วตัวจริงหายตัวไปที่ไหน เกิดอะไรขึ้นกับเธอ เบาะแสเดียวที่กุลคิดว่าเป็นประโยชน์ คือการจับตาดูกาน ฝาแฝดของแก้ว

องก์ที่ 2

          เจตน์ออกไปข้างนอก เขาพบกับเด็กผู้หญิงสองคนกำลังมีปากเสียงกัน เขาสังเกตว่าทั้งคู่ทะเลาะกันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่ผู้หญิงที่สูงกว่าเล็กน้อยจะผลักเด็กผู้หญิงอีกคนตกคลอง เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่เลี้ยงของเจตน์มาตามตัวกลับบ้าน เขาจดบันทึกเรื่องนี้ลงในสมุดของตัวเองด้วยใจหัวใจที่เต้นถี่รัว คืนนั้นบรรยากาศรอบตัวเงียบวังเวง ไม่มีแม้แต่เสียงหรีดหริ่งเรไร จนเข้ายามสิบสองนาฬิกา เจตน์ตื่นขึ้นมาที่ไหนสักแห่ง บรรยากาศไม่คุ้นตา อากาศเย็นเฉียบจากเครื่องแปลก ๆ มีแต่ชั้นเก็บเอกสาร เจตน์ไล่สำรวจที่ชั้นหนังสือพวกนั้น จู่ ๆ ก็มกระดาษชุดหนึ่งตกลงมาจากชั้น เขาหยิบขึ้นมาดู และพบว่ามันคือเรื่องที่เกิดในช่วงเวลาของเขา แต่มองไปที่ปฏิทินที่แขวนไว้บนผนัง ก่อนจะพบว่านี่คือห้าสิบปีต่อมา เจตน์งุนงง และพยายามหาวิธีกลับไปยังที่ของตัวเอง เขาไล่อ่านแฟ้มคดีนั้น พบว่า ภาพของผู้ต้องหาเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เขาไม่เคยพบมาก่อน แต่ผู้สูญหายเป็นเด็กผู้หญิงที่เขาเพิ่งพบ เจตน์รู้อยู่แก่ใจตัวเองดีว่าสาเหตุการหายตัวไปของเด็กผู้หญิงคนนั้นคืออะไร และใครกันแน่เป็นคนร้าย แต่จะไม่มีใครพบศพเลยเหรอ หรือว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นยังไม่ตาย เขาตัดสินใจขลุกตัวอยู่ในห้องนั้น และหาข้อมูลของคนในภาพจากฐานข้อมูลของในนั้น เพราะเจตน์คิดว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นก็อาจจะอายุเท่า ๆ กับเขา และตอนนี้คงอายุมากขึ้นแล้ว

องก์ที่ 3

          วันหนึ่งมลแอบออกไปเล่นที่ริมคลองเพราะเธอเบื่อการเข้าสังคมของคนมีฐานะ เธอหยิบหนังสือสืบสวนสอบสวนเล่มโปรดอย่างเชอร์ล็อคโฮล์มส์ติดมือมานั่งอ่านด้วย เด็กที่ชอบผจญภัยและชอบน้ำอย่างเธอ ก็สบโอกาสวิ่งขึ้นไปนอนอ่านหนังสือบนเรือหาปลาลำเล็กของชาวบ้านระแวกใกล้เคียงกันที่เอ็นดูเธอ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่มลอ่านหนังสือได้จวนครึ่งเล่มพอดี พี่เลี้ยงวิ่งมาตามเธอกลับเข้าไป เพราะคุณพ่อและคุณแม่เรียกหา แต่เธอก็ไม่ฟัง ยังดื้อรั้นจะอยู่บนเรือลำนั้น และผจญภัยไขคดีไปกับหนังสือของตัวเองต่อไป เพียงครู่เดียวที่พี่เลี้ยงวิ่งออกไป ร่างของเด็กสาวอีกคนก็วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง พี่สาวของเธอยืนอยู่ริมตลิ่ง และกอดอกปรายตามองมาที่เธออย่างไม่พอใจ พร้อมกับพูดให้เธอกลับไปที่บ้าน มลหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นที่เธอแอบเขียนลวก ๆ ในกระเป๋ากระโปรงของตัวเอง และอีกหนึ่งแผ่นสอดไว้ในหนังสือ โดยไม่ให้พี่สาวของตัวเองเห็น จากนั้นก็กลับขึ้นฝั่งเพื่อพูดคุยกับพี่สาวโดยทิ้งสิ่งสำคัญของตัวเองเอาไว้บนเรือลำนั้น ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านทั่วผิวหนัง หูทั้งสองข้างอื้ออึงจนไม่ได้ยินเสียงอะไร ทุกอย่างเงียบเชียบ นิ่งสนิท และมลตื่นขึ้นมาอีกครั้งในสถานที่ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย เธอจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เบาะแสอย่างเดียวที่เธอมี คือเศษกระดาษ ที่เขียนข้อความว่า “ความจริงนั้นไซร้ เป็นอย่างไร ชลาลัยจักบอก”

องก์ที่ 4

          เวลาสิบสองนาฬิกา เจตน์ตื่นขึ้นมาในห้องนอนของตัวเองอีกครั้ง เขาพบว่าวันสุดท้ายที่เขาบันทึกเหตุการณ์ ผ่านมาเพียงหนึ่งวัน ทั้ง ๆ ที่เขารู้สึกว่าเขาหายไปในมิติพิศวงเป็นเดือน ๆ เจตน์หยิบเศษกระดาษอีกหนึ่งแผ่นขึ้นมา ข้อความบนนั้นทำให้เจตน์พอจับต้นชนปลายบางอย่างได้ แท้จริงแล้วในวันที่เกิดเหตุ เขาเห็นเด็กผู้หญิงที่ถูกผลักตกคลองสอดบางอย่างเอาไว้ในหนังสือสืบสวนสอบสวนของเธอโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกต เขาจึงเดินตามพี่เลี้ยงออกมา แล้วย้อนกลับไปเก็บมันมา โดยที่ตอนที่เขากลับไป เด็กคนนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เช้าวันต่อมาเจตน์จึงกลับไปที่นั่นอีกครั้ง และเขาก็ยิ่งตกใจเมื่อเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นทำท่าทางหาอะไรอยู่ เขาตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วเรียกชื่อเธอ เธอดูงุนงงด้วยชื่อที่เขาเรียกเธอ เด็กผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเธอชื่อกุล นั่นยิ่งทำให้สิ่งที่เจตน์สันนิษฐานเอาไว้คล้ายจะเป็นจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ เด็กผู้หญิงคนนั้นจึงเล่าเรื่องราวก่อนที่จะมาอยู่ตรงนี้ให้เขาฟัง เจตน์ก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เขาจึงบอกข้อมูลที่เขารู้ให้เด็กผู้หญิงคนนั้นฟัง ความจริงที่ว่าเด็กผู้หญิงเจ้าของชื่อ “แก้ว” ถูก กานผลักตกน้ำ แก้วหายตัวไปจริง ๆ ไม่มีใครรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครหาศพเจอ เจตน์พูดถึงเรื่องที่ตัวเองไปโผล่ในสถานที่แปลก ๆ ทำให้กุลนึกขึ้นมาได้ว่านั่นเหมือนห้องเก็บเอกสารของโรงพักที่พ่อเธอทำงานอยู่ เด็กหญิงบอกว่าผู้ต้องสงสัยในแฟ้มคดีนั้นเป็นแพะ คนร้ายตัวจริงก็คือกาน เพราะเจตน์เป็นพยานปากสำคัญ แต่ปัญหาใหญ่ของเด็กสองคนคือจะตามหาแก้วได้จากที่ไหน ทั้งคู่จึงตัดสินใจช่วยกันสำรวจบริเวณนั้นอยู่นาน จนฟ้าเริ่มมืดก็แยกย้ายกันไป หน้าปัดนาฬิกาเวียนมาที่เวลาสิบสองนาฬิกาอีกครั้ง เสียงดังจากนาฬิกาลูกตุ้มกลางบ้านปลุกให้กุลตื่นขึ้นมา เธอพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง แต่ข้าวของบางอย่างมีผ้าขาวคลุมเอาไว้กันฝุ่น นั่นสร้างความแปลกใจให้กุลเป็นอย่างมาก เธอยังไม่ได้คำตอบว่าแก้วไปอยู่ที่ไหน เป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่เธอกลับมาอยู่ในที่ของเธอเสียแล้ว หรือเธอแค่ฝันไป กุลเดินไปที่ประตู ตั้งใจจะออกไปเข้าห้องน้ำ แต่พบว่าประตูล็อกจากข้างนอก เธอจึงตะโกนขอความช่วยเหลือ ไม่นานแม่ของเธอก็เปิดประตูออก แล้วเข้าสวมกอดเธอทั้งน้ำตา กุลตกใจมากจึงถามแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แม่หยิบหนังสือพิมพ์ที่ประกาศหาคนหายซึ่งภาพนั้นคือกุลเองให้ดู เธอหายตัวไปหนึ่งปีเต็ม ทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่าเธอไปอยู่ในช่วงเวลานั้นเพียงแค่หนึ่งวัน กุลตัดสินใจเข้าไปในห้องทำงานของพ่ออีกครั้ง แฟ้มคดีนั้นถูกเก็บไว้ในลิ้นชัก และประทับตราว่าปิดคดี รูปของผู้ต้องสงสัยเป็นรูปของผู้หญิงที่หน้าตาคล้ายผู้สูญหาย ลงชื่อพยานปากสำคัญว่า “เจตน์” ผู้ต้องหาคือ “กานชีวา” และผู้สูญหายคือ “นางสาวแก้วกมล” แม้ในรายงานจะบอกว่าสูญหาย ไม่พบศพ แต่หัวใจของกุลก็เต้นไม่เป็นส่ำ เธอเดินออกมาหาแม่ แล้วถามแม่อีกครั้งว่าแม่ของเธอชื่ออะไร

          “แม่ก็ชื่อมลไงจ๊ะ แก้วกมล ไม่รู้ว่าทำไมแม่จำเรื่องตอนเด็ก ๆ ไม่ค่อยได้ แต่แม่จำได้นะว่า ที่บ้านของแม่ชอบเรียกแม่ด้วยชื่อแก้ว แต่แม่ชอบชื่อมลมากกว่า”

          และนั่นคือเบาะแสสำคัญชิ้นสุดท้ายที่เจตน์ไม่ได้บอกกุลออกมา กระดาษแผ่นเล็ก ๆ ในหนังสือเชอร์ล็อคโฮล์มส์เขียนเอาไว้ว่า “ฉันชื่อแก้วกมล ทุกคนเรียกฉันว่าแก้ว แต่ฉันปรารถนาชื่อมลเสียมากกว่า เพราะฉันอยากออกไปผจญภัย ใช้ชีวิตของตัวเองมากกว่าอยู่ในกรงทองนี่แล้ว”

          ทำไมถึงกลายมาเป็นพล็อตแบบนี้น่ะเหรอ เฝ้าถามตัวเองหลาย ๆ ครั้ง จนพบที่มา สองสามวันก่อนคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาครั้งสุดท้ายเพื่อเตรียมความพร้อมในการนำเสนอความคืบหน้าครั้งแรก ฉันลองค้นหาทฤษฎีเกี่ยวกับการย้อนเวลาต่าง ๆ พบว่ามีที่น่าสนใจ และสามารถนำมาดัดแปลงให้เข้ากับความคิดในหัวของตัวเองได้อยู่ 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีรูหนอน (Wormhole Theory) ว่าด้วย “อุโมงค์เชื่อมจุดสองจุดเป็นช่องทางการข้ามเวลา” ไม่เสถียร และทฤษฎีเส้นโค้งปิดเชิงเวลา (Close Timeline Curve - CIC) ว่าด้วย “ถ้าอวกาศหมุนเป็นเกลียวก็อาจพับกลับมาจุดเดิมได้” ซึ่งต้องการเงื่อนไขพิเศษ แต่จากการหาข้อมูล ไม่มีการระบุว่าเงื่อนไขพิเศษนั้นคืออะไร

          แปลว่าเมื่อเราลองนำสองทฤษฎีมาขมวดรวมกันจะได้เป็น การย้อนเวลาโดยใช้รูหนอน ที่มีนาฬิกาลูกตุ้มกลางบ้านเป็นสื่อกลาง (เงื่อนไขพิเศษ) ซึ่งการเคลื่อนที่แนวเส้นโค้ง (โปรเจคไทล์) ของลูกตุ้มนาฬิกา ทำให้เกิดพลังงานในรูหนอน และทำให้เดินทางย้อนเวลาได้ แต่อาจไม่เสถียร เนื่องจากพลังงานไม่มากพอ และทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกาลเวลาของอดีต และปัจจุบัน 1 ชั่วโมง คือ 1 วัน 1 วัน คือ 1 เดือน 1 เดือน คือ 1 ปี

          แล้วการดีไซน์คาแรคเตอร์ตัวละครล่ะ ต้องการให้ตัวละครเป็นแบบไหน สื่อถึงอะไร มีความหมายแฝงอะไรในการสร้างตัวละครนั้น ๆ ไหม แน่นอนว่า “ต้องมี” แต่จะขอพาทุกคนไปพบกับตัวละครของเรา และไทม์ไลน์การดำเนินเรื่องในตอนถัดไป ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงขอเสนอแนะสำหรับการนำเสนอความคืบหน้าครั้งแรก

          โดยรวมอาจต้องพัฒนาพล็อต และเขียนทรีทเมนต์โดยละเอียด แก้ไขกลุ่มเป้าหมาย ใช้ตัวละครเล่าเรื่องให้เยอะ และต้องระวังความสัมพันธ์ กับความไม่สมจริงบางอย่าง

ขอจบการบันทึกครั้งที่ 1

 

 

 

 

Comments